ช่วงนี้ไม่ว่าจะเปิดข่าวช่องไหน ก็ต้องเจอเรื่องราวของยูเครนใช่ไหมคะ/ครับ? สถานการณ์ที่นั่นทำให้เราหลายคนสงสัยว่า ทำไมประเทศเล็กๆ แห่งนี้ถึงได้เผชิญหน้ากับความท้าทายมากมายขนาดนี้ การจะเข้าใจเรื่องราววันนี้ให้ลึกซึ้ง เราต้องย้อนกลับไปทำความรู้จักกับเส้นทางแห่งเอกราชที่ยาวนานและเต็มไปด้วยขวากหนามของยูเครนค่ะ/ครับ ตั้งแต่สมัยอดีตกาลที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจต่างๆ จนกระทั่งการประกาศอิสรภาพอย่างแท้จริงจากสหภาพโซเวียตในปี 1991 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ปูทางมาสู่ปัจจุบันนี้ การต่อสู้เพื่อรักษาอธิปไตยและตัวตนของชาตินี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายจริงๆ ค่ะ/ครับ มาค่ะ/ครับ ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกถึงประวัติศาสตร์อันเข้มข้นของยูเครน เส้นทางสู่การเป็นประเทศอิสระ และความหมายที่แท้จริงของคำว่า “เอกราช” สำหรับพวกเขาอย่างละเอียดกันเลยนะคะ/ครับ
ช่วงนี้ไม่ว่าจะเปิดข่าวช่องไหน ก็ต้องเจอเรื่องราวของยูเครนใช่ไหมคะ/ครับ? สถานการณ์ที่นั่นทำให้เราหลายคนสงสัยว่า ทำไมประเทศเล็กๆ แห่งนี้ถึงได้เผชิญหน้ากับความท้าทายมากมายขนาดนี้ การจะเข้าใจเรื่องราววันนี้ให้ลึกซึ้ง เราต้องย้อนกลับไปทำความรู้จักกับเส้นทางแห่งเอกราชที่ยาวนานและเต็มไปด้วยขวากหนามของยูเครนค่ะ/ครับ ตั้งแต่สมัยอดีตกาลที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจต่างๆ จนกระทั่งการประกาศอิสรภาพอย่างแท้จริงจากสหภาพโซเวียตในปี 1991 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ปูทางมาสู่ปัจจุบันนี้ การต่อสู้เพื่อรักษาอธิปไตยและตัวตนของชาตินี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายจริงๆ ค่ะ/ครับ มาค่ะ/ครับ ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกถึงประวัติศาสตร์อันเข้มข้นของยูเครน เส้นทางสู่การเป็นประเทศอิสระ และความหมายที่แท้จริงของคำว่า “เอกราช” สำหรับพวกเขาอย่างละเอียดกันเลยนะคะ/ครับ
รากเหง้าอันลึกซึ้ง: เมื่อยูเครนยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมหาอำนาจ
การได้ลองศึกษาประวัติศาสตร์ของยูเครน ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปไกลเลยล่ะค่ะ/ครับ ดินแดนที่เรารู้จักกันในชื่อยูเครนทุกวันนี้ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นมาง่ายๆ นะคะ/ครับ แต่มีรากฐานมาจากอาณาจักรโบราณที่รุ่งเรืองอย่าง “เคียฟรุส” (Kyivan Rus’) ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 นู่นเลย ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมสลาฟตะวันออก และเป็นจุดเริ่มต้นร่วมกันทางประวัติศาสตร์ของทั้งยูเครนและรัสเซียเลยก็ว่าได้ เคียฟ เมืองหลวงของยูเครนในปัจจุบันนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรที่ทรงอำนาจแห่งนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยค่ะ/ครับ หลังจากนั้นหลายศตวรรษผ่านไป ดินแดนแห่งนี้ก็ถูกแบ่งแยกไปมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจหลายต่อหลายฝ่าย ทั้งโปแลนด์ ลิทัวเนีย และจักรวรรดิรัสเซีย ดินแดนฝั่งตะวันตกของยูเครนเคยอยู่ภายใต้การปกครองของเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนียเป็นเวลานาน ในขณะที่ฝั่งตะวันออกมักจะผูกพันกับรัสเซียมากกว่า ฉันว่านี่แหละค่ะ/ครับ คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมและภาษาของคนในประเทศนี้มาจนถึงทุกวันนี้ และเป็นสิ่งที่สร้างความเข้าใจยากให้กับคนภายนอกอย่างเราๆ ด้วย
จุดเริ่มต้นจากเคียฟรุส: อดีตที่ผูกพันกับรัสเซีย
เคียฟรุสเป็นเหมือนรากฐานสำคัญที่หล่อหลอมตัวตนของชาวยูเครนเลยก็ว่าได้นะคะ/ครับ เจ้าชายวลาดิเมียร์ที่ 1 ทรงรับศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์เข้ามาในปี ค.ศ.
988 ซึ่งกลายเป็นศาสนาหลักที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน แต่พออาณาจักรเคียฟรุสล่มสลายลงจากการรุกรานของมองโกลในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ดินแดนยูเครนก็กลายเป็นที่แย่งชิงของบรรดามหาอำนาจรอบข้างไปโดยปริยาย ทำให้การสร้างชาติของตัวเองเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากๆ เท่าที่ฉันสังเกตมา ความผูกพันกับรัสเซียมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นนะ แต่มันฝังรากลึกมาตั้งแต่สมัยโบราณเลยแหละ เพียงแต่ในมุมของยูเครน เขาก็อยากมีอิสระเป็นของตัวเองบ้าง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติของทุกชาติอยู่แล้วใช่ไหมคะ/ครับ
ใต้เงาของผู้อื่น: การแบ่งแยกดินแดนและความพยายามรักษาตัวตน
ลองจินตนาการดูสิคะ/ครับว่าการต้องอยู่ภายใต้การปกครองของชาติอื่นมานานหลายศตวรรษมันยากแค่ไหน การที่ดินแดนแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจนโดยมีแม่น้ำนีเปอร์กั้นกลาง ทำให้ฝั่งตะวันตกและตะวันออกมีประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันมาก ฝั่งตะวันตกเคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของยุโรปกลาง ส่วนฝั่งตะวันออกก็ใกล้ชิดกับรัสเซียมากกว่า ความแตกต่างนี้ทำให้การสร้าง “เอกลักษณ์ร่วม” ของชาวยูเครนเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากเลยค่ะ/ครับ ฉันอ่านเจอมาว่าบางช่วงมีการพยายาม “ทำให้เป็นรัสเซีย” (Russification) ด้วยการห้ามใช้ภาษายูเครนเลยนะ!
คิดดูสิคะ/ครับว่ามันกระทบกระเทือนจิตใจคนในชาติขนาดไหน การต่อสู้เพื่อรักษาภาษาและวัฒนธรรมของตัวเองเนี่ย มันเป็นหัวใจสำคัญของการมีตัวตนเลยล่ะ
จากความหวังสู่ความมืดมิด: มหาทุพภิกขภัยและการต่อสู้เพื่อการอยู่รอด
ในประวัติศาสตร์ของยูเครน มีช่วงเวลาที่มืดมิดและเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่ฉันเองก็เพิ่งได้เรียนรู้มาค่ะ/ครับ นั่นคือเหตุการณ์ “โฮโลโดมอร์” ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ซึ่งเป็นมหาทุพภิกขภัยที่เกิดจากนโยบายการจัดตั้งฟาร์มรวมของโจเซฟ สตาลิน ผู้นำสหภาพโซเวียตในเวลานั้น เหตุการณ์นี้คร่าชีวิตชาวยูเครนไปหลายล้านคน ด้วยความอดอยากแสนสาหัส จนบางครั้งฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เกินกว่าจะจินตนาการถึงได้เลยนะคะ/ครับ บาดแผลจากเหตุการณ์นี้ยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจของชาวยูเครนมาจนถึงทุกวันนี้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของความอดอยากทางกายภาพ แต่เป็นการทำลายขวัญและกำลังใจของคนทั้งชาติ และยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในมหาอำนาจที่เคยปกครองพวกเขามาตลอด หลังจากนั้นไม่นาน ยูเครนก็ต้องเผชิญกับอีกหนึ่งบททดสอบที่หนักหนาสาหัส นั่นคือสงครามโลกครั้งที่สอง ดินแดนยูเครนกลายเป็นสมรภูมิรบขนาดใหญ่ ประชาชนต้องเผชิญกับการยึดครองของนาซีเยอรมัน และความเสียหายจากการสู้รบที่ประเมินค่าไม่ได้เลยจริงๆ ค่ะ/ครับ
โฮโลโดมอร์: บาดแผลที่ไม่มีวันจางหาย
เรื่องราวของโฮโลโดมอร์เป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกสะเทือนใจมากที่สุดเลยค่ะ/ครับ การที่นโยบายของรัฐบาลทำให้ประชาชนของตัวเองต้องอดอยากจนเสียชีวิตเป็นจำนวนมหาศาล มันเป็นความโหดร้ายที่ยากจะรับได้ ฉันเคยอ่านบทความที่เล่าถึงความทุกข์ทรมานของผู้คนที่ต้องกินสิ่งที่ไม่ควรกินเพื่อประทังชีวิต มันทำให้ฉันตระหนักเลยว่าการมีอาหารกินอิ่มท้องทุกวันนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะ สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ชาวยูเครนสูญเสียชีวิตและครอบครัวเท่านั้น แต่ยังสร้างความเจ็บปวดทางจิตใจที่ส่งผลต่อคนรุ่นหลังอย่างรุนแรง มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์แห่งความทรงจำของพวกเขาเลยค่ะ/ครับ ที่สำคัญคือเรื่องนี้มันยังถูกตีความและรับรู้ต่างกันไประหว่างยูเครนกับรัสเซีย ซึ่งยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศซับซ้อนขึ้นไปอีก
สงครามโลกครั้งที่สอง: เมื่อยูเครนกลายเป็นสมรภูมิใหญ่
สงครามโลกครั้งที่สองเป็นอีกช่วงเวลาที่ยูเครนต้องรับมือกับความรุนแรงอย่างหนักหน่วงจริงๆ ค่ะ/ครับ ด้วยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ระหว่างมหาอำนาจอย่างนาซีเยอรมันและสหภาพโซเวียต ทำให้ยูเครนกลายเป็นแนวหน้าของสมรภูมิขนาดใหญ่ ฉันเองก็เคยได้เห็นภาพยนตร์หรือสารคดีที่ถ่ายทอดเรื่องราวการต่อสู้ในดินแดนยูเครน มันช่างโหดร้ายและเต็มไปด้วยความสูญเสียเหลือเกิน ประชาชนต้องเลือกระหว่างการถูกยึดครองโดยนาซีกับการอยู่ภายใต้การปกครองของโซเวียต ซึ่งทั้งสองทางก็ล้วนแต่สร้างความยากลำบากและโศกนาฏกรรมให้กับพวกเขา การถูกทำลายล้างครั้งใหญ่ ทั้งชีวิตผู้คนและโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ยูเครนต้องใช้เวลาและพลังงานมหาศาลในการฟื้นฟูประเทศหลังสงครามจบลง ซึ่งเป็นบทเรียนราคาแพงที่แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของประเทศที่ต้องเผชิญหน้ากับอำนาจใหญ่ค่ะ/ครับ
แสงแห่งเอกราชสาดส่อง: การก้าวออกจากสหภาพโซเวียตในปี 1991
การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของยูเครนเลยก็ว่าได้นะคะ/ครับ มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกตื่นเต้นแทนพวกเขามากๆ เพราะหลังจากที่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของมหาอำนาจมานานนับศตวรรษ ในที่สุดยูเครนก็ได้มีโอกาสกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองเสียที การลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นอิสระจากสหภาพโซเวียตในเดือนธันวาคมปีนั้น ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นถึง 90% ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าประชาชนชาวยูเครนมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีเอกราชเป็นของตัวเองจริงๆ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม เสียงของประชาชนในวันนั้นคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุดค่ะ/ครับ การได้ประกาศอิสรภาพครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางพรมแดนหรือการปกครองเท่านั้น แต่มันคือการได้เริ่มต้นสร้าง “ชาติ” ในแบบของตัวเองอย่างแท้จริง หลังจากที่เคยเป็นเพียงหนึ่งในสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียตมานานกว่า 70 ปี ถึงแม้เส้นทางข้างหน้าจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่แสงแห่งเอกราชที่สาดส่องเข้ามาในวันนั้น ก็เป็นเหมือนความหวังอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้ชาวยูเครนพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปค่ะ/ครับ
เสียงของประชาชน: การลงประชามติอันท่วมท้น
ฉันจำได้ว่าตอนที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย ข่าวใหญ่มากจริงๆ นะคะ/ครับ การที่ยูเครนตัดสินใจลงประชามติเพื่อแยกตัวออกมา ถือเป็นการแสดงออกถึงเจตจำนงของประชาชนอย่างแท้จริง และผลที่ออกมาก็ชัดเจนมากๆ เกินกว่าใครจะปฏิเสธได้เลย การที่ 90% ของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง เลือกที่จะเป็นอิสระ แสดงให้เห็นว่าความรู้สึกชาตินิยมและต้องการมีอำนาจอธิปไตยของตัวเองนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน การโหวตครั้งนั้นไม่ได้เป็นแค่การตัดสินใจทางการเมือง แต่เป็นประกาศจากใจของคนนับล้านที่อยากกำหนดอนาคตของตัวเอง ซึ่งฉันเชื่อว่าการตัดสินใจครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความหวังครั้งใหม่สำหรับชาวยูเครน แม้ว่ามันจะตามมาด้วยความท้าทายอีกมากมายก็ตาม
ความท้าทายแรกของชาติใหม่: การสร้างตัวตนในโลกที่เปลี่ยนไป
หลังได้รับเอกราช ยูเครนก็ต้องเจอกับบททดสอบที่ใหญ่หลวงเลยล่ะค่ะ/ครับ การเปลี่ยนผ่านจากระบบสังคมนิยมแบบรวมศูนย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจแบบตลาดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฉันเคยเห็นรายงานที่บอกว่าช่วงแรกๆ เศรษฐกิจยูเครนซบเซามากๆ แถมยังมีปัญหาเรื่องการทุจริตอีกเพียบ การสร้างอัตลักษณ์ร่วมของชาติก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญ เพราะอย่างที่รู้กันว่ายูเครนมีความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว การจะหลอมรวมทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้ความเป็น “ยูเครน” นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในข้ามคืนเลยค่ะ/ครับ ฉันคิดว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงของการลองผิดลองถูก และเรียนรู้ที่จะยืนหยัดด้วยตัวเองในเวทีโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน
ยุคแห่งการปฏิรูปและความขัดแย้ง: เมื่อประชาธิปไตยไม่ได้มาง่ายๆ
หลังจากที่ได้ลิ้มรสชาติของเอกราช ยูเครนก็เริ่มเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มตัว แต่บอกเลยว่าเส้นทางนี้ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดไว้เลยค่ะ/ครับ ฉันเองก็ได้ติดตามข่าวสารมาพักใหญ่ และรู้สึกได้ถึงความผันผวนทางการเมืองที่เกิดขึ้นในยูเครนตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เหตุการณ์สำคัญอย่าง “การปฏิวัติสีส้ม” ในปี 2004 และ “ยูโรไมดาน” ในปี 2013-2014 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าประชาชนชาวยูเครนมีความกระตือรือร้นในการเรียกร้องประชาธิปไตยและต้องการกำหนดทิศทางของประเทศด้วยตัวเองมากแค่ไหน เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกภายในประเทศที่ยังคงมีอยู่ระหว่างกลุ่มที่ต้องการกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซีย และกลุ่มที่ต้องการเดินหน้าเข้าหาตะวันตก ทั้งสหภาพยุโรป (EU) และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ซึ่งความปรารถนาที่จะเป็นส่วนหนึ่งของยุโรปตะวันตกนี้เอง ที่กลายเป็นชนวนสำคัญที่ก่อให้เกิดความตึงเครียดกับรัสเซียมากยิ่งขึ้น จนเราเห็นสถานการณ์อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันค่ะ/ครับ การสร้างชาติประชาธิปไตยมันไม่ใช่แค่การมีสิทธิเลือกตั้งนะ แต่มันคือการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์และอนาคตที่ตัวเองเชื่อจริงๆ
การปฏิวัติสีส้มและยูโรไมดาน: จุดยืนที่แตกต่างกัน
ฉันจำได้ว่าตอนเกิดการปฏิวัติสีส้มในปี 2004 เนี่ย คนไทยก็ให้ความสนใจกันเยอะเลยนะ เพราะมันเป็นการประท้วงใหญ่ที่แสดงพลังของประชาชนได้ชัดเจนมากๆ เพื่อเรียกร้องความโปร่งใสในการเลือกตั้งและต่อต้านการทุจริต จากนั้นในปี 2013-2014 ก็เกิดเหตุการณ์ยูโรไมดานขึ้นอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้รุนแรงกว่าเดิมมาก เป็นการประท้วงที่ปะทุขึ้นมาเพราะรัฐบาลตัดสินใจระงับข้อตกลงสมาคมกับสหภาพยุโรป และหันไปกระชับสัมพันธ์กับรัสเซียแทน ฉันว่าคนยูเครนจำนวนไม่น้อยคงรู้สึกเหมือนโดนหักหลังเลยแหละค่ะ/ครับ เพราะพวกเขาคาดหวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งของยุโรปมาตลอด การประท้วงทั้งสองครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งทางอุดมการณ์อย่างลึกซึ้งภายในประเทศ ยูเครนที่แท้จริงคืออะไร?
จะหันไปทางรัสเซีย หรือจะก้าวไปกับยุโรป? คำถามเหล่านี้ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงที่ร้อนแรงมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ
มุ่งหน้าสู่ตะวันตก: ความต้องการที่ก่อให้เกิดความตึงเครียด
สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มาคือความต้องการที่จะเข้าร่วมกับสหภาพยุโรปและ NATO ของยูเครนเนี่ย ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยนะคะ/ครับ พวกเขาพยายามมานานหลายสิบปีแล้ว เพราะมองว่านี่คือหนทางที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและนำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเหมือนชาติยุโรปอื่นๆ แต่ในมุมของรัสเซีย การที่ NATO ซึ่งเป็นพันธมิตรทางทหารของชาติตะวันตก จะขยายอิทธิพลมาถึงชายแดนของตนเอง ถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่ยอมรับไม่ได้ ตรงจุดนี้แหละค่ะ/ครับ ที่ทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นมาอย่างมหาศาล ฉันเข้าใจเลยนะว่าแต่ละฝ่ายก็มีเหตุผลของตัวเอง แต่เมื่อผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติมาปะทะกันอย่างรุนแรงแบบนี้ มันก็ยากที่จะหาทางออกที่ทุกฝ่ายพอใจได้จริงๆ ฉันหวังว่าสักวันหนึ่งยูเครนจะสามารถหาจุดสมดุลที่จะนำพาสันติภาพและความมั่นคงมาสู่ประเทศได้สำเร็จ
เมื่อคลื่นความขัดแย้งโหมกระหน่ำ: ไครเมีย ดอนบัส และปัจจุบัน
พอพูดถึงยูเครนในยุคปัจจุบัน สิ่งที่หลายคนคงนึกถึงเป็นอันดับแรกก็คงหนีไม่พ้นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานานหลายปีใช่ไหมคะ/ครับ ฉันเองก็รู้สึกหดหู่ใจทุกครั้งที่ได้ยินข่าวสถานการณ์ที่นั่น โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนกับรัสเซียตกต่ำถึงขีดสุด นั่นคือการผนวกคาบสมุทรไครเมียเข้ากับรัสเซียในปี 2014 และการปะทุของสงครามในภูมิภาคดอนบัสตามมาติดๆ เรื่องราวเหล่านี้เป็นเหมือนจุดเปลี่ยนที่ทำให้ยูเครนต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ได้รับเอกราชเลยก็ว่าได้ สถานการณ์ในไครเมียทำให้ชาวยูเครนรู้สึกเหมือนถูกฉีกขาดเป็นสองส่วน ส่วนในดอนบัส การสู้รบที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องหลายปี ได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย และทิ้งบาดแผลลึกไว้ในจิตใจของชาวบ้าน ฉันเคยคิดว่าหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย โลกคงจะเข้าสู่ยุคแห่งสันติสุขแล้ว แต่ความเป็นจริงกลับซับซ้อนกว่านั้นมากนัก ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นที่ยูเครนเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจว่าการได้มาซึ่งเอกราชนั้นอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่แท้จริงเพื่อรักษาอธิปไตยและตัวตนของชาติเอาไว้
การผนวกไครเมีย: จุดแตกหักที่ไม่อาจย้อนคืน
ฉันจำได้ว่าตอนที่รัสเซียผนวกไครเมียในปี 2014 เนี่ย เป็นข่าวที่ช็อกโลกมากๆ เลยนะคะ/ครับ หลายคนรวมถึงฉันเองก็รู้สึกตกใจว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงในยุคปัจจุบัน ไครเมียมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และมีประชากรเชื้อสายรัสเซียจำนวนมากก็จริง แต่การกระทำนี้ก็ถูกประณามจากประชาคมโลกอย่างกว้างขวางว่าเป็นละเมิดอธิปไตยของยูเครนอย่างชัดเจน ฉันคิดว่านี่คือจุดแตกหักที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกเลย มันไม่ใช่แค่เรื่องดินแดน แต่มันคือเรื่องของความเชื่อใจที่พังทลายลง ชาวไครเมียเองก็คงมีความรู้สึกที่หลากหลาย บ้างก็ยินดี บ้างก็เสียใจกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันแบบนี้ การเมืองระหว่างประเทศนี่ซับซ้อนจนบางทีฉันก็อยากถอนหายใจยาวๆ เลยล่ะค่ะ
สงครามที่ยืดเยื้อ: ผลกระทบต่อชีวิตผู้คน
และแล้วก็มาถึงสงครามที่ดอนบัส ที่ปะทุขึ้นหลังจากเหตุการณ์ไครเมียได้ไม่นาน ฉันได้ติดตามข่าวสารมาตลอด และรู้สึกได้เลยว่าสงครามที่ยืดเยื้อมาหลายปีนี้มันส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนอย่างมหาศาลจริงๆ การได้เห็นภาพข่าวที่เมืองต่างๆ ถูกทำลาย ผู้คนต้องพลัดถิ่น หรือต้องสูญเสียคนที่รักไป มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเสมอ ฉันเองก็เคยคิดนะว่าถ้าเป็นเราที่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น จะทำยังไง สงครามนี้ไม่ได้ทำให้เกิดแค่ความเสียหายทางกายภาพ แต่ยังสร้างบาดแผลทางใจที่ยากจะเยียวยาให้กับคนยูเครนอีกด้วย ฉันหวังว่าสักวันหนึ่งสงครามครั้งนี้จะยุติลงได้จริงๆ และผู้คนจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียที
เหตุการณ์สำคัญ | ปี (พ.ศ.) | ความหมายสำหรับยูเครน |
---|---|---|
การก่อตั้งเคียฟรุส | คริสต์ศตวรรษที่ 9 | รากฐานอารยธรรมและอัตลักษณ์ |
โฮโลโดมอร์ | ทศวรรษ 1930 | โศกนาฏกรรมแห่งความอดอยาก บาดแผลทางประวัติศาสตร์ |
ประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียต | 1991 (2534) | การได้รับอธิปไตยอย่างเป็นทางการ |
การปฏิวัติสีส้ม | 2004 (2547) | การเรียกร้องประชาธิปไตยและความโปร่งใส |
ยูโรไมดาน | 2013-2014 (2556-2557) | จุดยืนในการมุ่งหน้าสู่ยุโรป การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง |
การผนวกไครเมียโดยรัสเซีย | 2014 (2557) | การละเมิดอธิปไตย จุดแตกหักกับรัสเซีย |
สงครามในดอนบัส | 2014-ปัจจุบัน (2557-ปัจจุบัน) | ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อประชาชน |
การรุกรานโดยรัสเซียเต็มรูปแบบ | 2022 (2565) | วิกฤตความมั่นคงครั้งใหญ่ที่สุด |
อนาคตที่ยังคลุมเครือ: ยูเครนจะก้าวต่อไปอย่างไร?
หลังจากที่ได้มองย้อนกลับไปในเส้นทางอันยาวนานและเต็มไปด้วยขวากหนามของยูเครนแล้ว ฉันก็อดคิดถึงอนาคตของประเทศนี้ไม่ได้เลยนะคะ/ครับ ตอนนี้ยูเครนยังคงเผชิญหน้ากับความท้าทายใหญ่หลวงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ การต่อสู้เพื่อรักษาอธิปไตยและเอกราชจากอิทธิพลภายนอกยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ฉันเชื่อว่าคนยูเครนทุกคนต่างก็มีความมุ่งมั่นที่จะเห็นประเทศของตัวเองเป็นอิสระ มีสันติภาพ และได้กำหนดอนาคตของตัวเองโดยปราศจากการแทรกแซงจากใคร การที่ยูเครนยืนหยัดต่อสู้มาได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ/ครับ มันแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้และความรักชาติอันแรงกล้าของพวกเขา ฉันเองก็ได้แต่หวังว่าในท้ายที่สุดแล้ว ความพยายามเหล่านี้จะนำพาสันติสุขกลับคืนสู่ดินแดนยูเครนได้สำเร็จ และพวกเขาจะได้สร้างประเทศในแบบที่ตัวเองใฝ่ฝันจริงๆ ค่ะ/ครับ บทเรียนจากประวัติศาสตร์สอนเราว่าการได้มาซึ่ง “อิสระ” นั้นไม่ใช่แค่การประกาศตนเอง แต่คือการต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อรักษามันไว้ต่างหาก และนั่นคือสิ่งที่ชาวยูเครนกำลังทำอยู่ทุกวันนี้
การต่อสู้เพื่ออธิปไตย: ความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้
เท่าที่ฉันเห็นมา ชาวยูเครนมีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องอธิปไตยของตัวเองอย่างเหลือเชื่อเลยนะคะ/ครับ ไม่ว่าจะต้องเจอสถานการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้ ฉันรู้สึกทึ่งในความเข้มแข็งของพวกเขาจริงๆ การที่ประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับอำนาจใหญ่ขนาดนี้ และยังไม่ยอมแพ้ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์นะ แต่มันคือการต่อสู้ทางจิตวิญญาณ การต่อสู้เพื่อรักษาความเป็นชาติและศักดิ์ศรีของตัวเองเอาไว้ ฉันเชื่อว่าความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้นี้แหละค่ะ/ครับ ที่เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ยูเครนยังคงยืนหยัดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ และฉันก็หวังว่าความมุ่งมั่นนี้จะนำพาพวกเขาไปสู่วันที่ได้เห็นประเทศของตัวเองมีสันติภาพและมั่นคงอย่างแท้จริง
บทเรียนจากประวัติศาสตร์: ความหมายของคำว่า “อิสระ”
สำหรับฉัน การได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของยูเครน ทำให้ฉันเข้าใจความหมายของคำว่า “อิสระ” ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเลยค่ะ/ครับ มันไม่ใช่แค่การไม่มีใครมาบังคับ แต่คือการได้เป็นเจ้าของประเทศตัวเองอย่างแท้จริง ได้ตัดสินใจอนาคตของตัวเอง ได้รักษาภาษาและวัฒนธรรมของตัวเองไว้ได้อย่างภาคภูมิใจ และที่สำคัญที่สุดคือการได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในบ้านเกิดของตัวเอง ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ยูเครนได้ผ่านบททดสอบมามากมาย ทั้งความทุกข์ยาก การถูกแบ่งแยก และการสู้รบ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเป็นอิสระ ฉันคิดว่านี่คือบทเรียนสำคัญที่ทุกชาติทั่วโลกควรตระหนัก การเห็นคุณค่าของเอกราชและพยายามรักษามันไว้ให้ดีที่สุด เป็นสิ่งที่คนยูเครนแสดงให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนในทุกวันนี้ค่ะ
글을มา치며
ฉันรู้สึกว่าการได้เจาะลึกประวัติศาสตร์ของยูเครนในครั้งนี้ ทำให้ฉันมองสถานการณ์ปัจจุบันด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นมากเลยนะคะ/ครับ จริงๆ แล้ว “เอกราช” ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรูที่เขียนอยู่บนธงชาติเท่านั้น แต่คือการต่อสู้ที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ เลือดเนื้อ และน้ำตาของคนทั้งชาติที่ยาวนานนับศตวรรษ ตั้งแต่ในอดีตกาลที่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของผู้อื่น ต้องเจอทั้งการแบ่งแยกดินแดน การอดอยากแสนสาหัส และสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงการยืนหยัดเพื่อตัวตนและอธิปไตยในปัจจุบัน ฉันเองก็อดใจหายไม่ได้เมื่อคิดถึงความเจ็บปวดที่พวกเขาต้องเผชิญมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้ค่ะ/ครับ ฉันหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ ได้เข้าใจหัวใจและความมุ่งมั่นที่ไม่เคยยอมแพ้ของชาวยูเครนได้มากขึ้นนะคะ/ครับ และขอเอาใจช่วยให้พวกเขาก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างเข้มแข็ง เพื่ออนาคตที่สดใส สันติสุข และการได้กำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้อย่างแท้จริงเสียทีค่ะ/ครับ
알아두면 쓸โม 있는 정보
1. ยูเครนเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปี โดยมีรากฐานมาจากอาณาจักรเคียฟรุส ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและศาสนาของชาวสลาฟตะวันออกเลยทีเดียว ถือเป็นต้นกำเนิดร่วมกันของหลายชาติในภูมิภาคนี้
2. เหตุการณ์โฮโลโดมอร์ในทศวรรษที่ 1930 คือมหาทุพภิกขภัยที่เกิดจากนโยบายของสหภาพโซเวียต ซึ่งคร่าชีวิตชาวยูเครนไปหลายล้านคน และทิ้งบาดแผลลึกในจิตใจมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นช่วงเวลาที่สะเทือนใจและสำคัญมากต่ออัตลักษณ์ของชาติ
3. การประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียตในปี 1991 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ยูเครนได้มีโอกาสกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองอย่างแท้จริง หลังจากอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้อื่นมานานนับศตวรรษ เป็นการแสดงออกถึงเจตจำนงของประชาชนส่วนใหญ่
4. ความพยายามของยูเครนในการกระชับความสัมพันธ์กับยุโรปและ NATO เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความตึงเครียดกับรัสเซีย ซึ่งมองว่าเป็นการคุกคามความมั่นคงของตนเอง นี่คือหัวใจสำคัญของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน
5. สถานการณ์ในไครเมียและดอนบัสที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2014 เป็นเหมือนบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของยูเครนในการรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน แม้จะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่หนักหน่วงและยาวนานจากอำนาจภายนอก
สำคัญ 사항 정리
การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของยูเครนทำให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่า ทำไมสถานการณ์ปัจจุบันจึงซับซ้อนและเปราะบางเพียงนี้ จากการเป็นดินแดนที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจต่างๆ มานานหลายศตวรรษ ทั้งโปแลนด์ ลิทัวเนีย และจักรวรรดิรัสเซีย ทำให้ยูเครนต้องต่อสู้เพื่อรักษาอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของตัวเองมาโดยตลอด เหตุการณ์สำคัญอย่างโฮโลโดมอร์ในยุคโซเวียตได้สร้างบาดแผลลึกที่ไม่อาจลืมเลือน ยิ่งตอกย้ำความต้องการที่จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง การประกาศเอกราชในปี 1991 จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความหวังครั้งใหม่ แต่เส้นทางประชาธิปไตยก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การปฏิวัติสีส้มและยูโรไมดานแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของประชาชนที่จะมุ่งหน้าสู่ยุโรป แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นชนวนความขัดแย้งกับรัสเซีย จนนำไปสู่เหตุการณ์ผนวกไครเมียและการปะทุของสงครามในดอนบัสที่ยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเอกราชไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่ายๆ แต่เป็นการต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อรักษาไว้ และความเข้าใจในรากเหง้าทางประวัติศาสตร์เหล่านี้จะช่วยให้เรามองสถานการณ์ในยูเครนด้วยมุมมองที่ลึกซึ้งและรอบด้านมากยิ่งขึ้นค่ะ/ครับ ฉันเชื่อว่าความมุ่งมั่นของชาวยูเครนจะนำพาสันติภาพกลับคืนสู่ประเทศได้ในที่สุด และเราทุกคนควรให้กำลังใจพวกเขาในการเดินทางที่ยากลำบากนี้ค่ะ/ครับ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖
ถาม: ทำไมชาวยูเครนถึงให้ความสำคัญกับคำว่า “เอกราช” มากขนาดนี้คะ/ครับ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของพวกเขาเลย?
ตอบ: โอ้โห! เป็นคำถามที่โดนใจมากเลยค่ะ/ครับ เพราะนี่คือหัวใจสำคัญที่เราจะเข้าใจยูเครนเลยนะ! เท่าที่ฉันได้ศึกษามาและตามข่าวมาตลอด ฉันรู้สึกว่าสำหรับชาวยูเครนแล้ว “เอกราช” ไม่ใช่แค่สถานะทางการเมืองทั่วไป แต่มันคือการต่อสู้เพื่อการมีอยู่ของตัวเองค่ะ/ครับ ลองนึกภาพดูสิคะ/ครับว่าดินแดนยูเครนเคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจมากมายมานานนับร้อยปี ทั้งโปแลนด์ รัสเซีย ออสเตรีย-ฮังการี หรือแม้แต่สหภาพโซเวียต การที่พวกเขาต้องเผชิญกับการพยายามกลืนกินวัฒนธรรม ภาษา และอัตลักษณ์มาตลอด มันทำให้คำว่า “เป็นตัวของตัวเอง” มีความหมายลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายได้เลยค่ะ/ครับ อย่างโศกนาฏกรรมโฮโลโดมอร์ (Holodomor) ที่รัสเซียโซเวียตเคยทำให้ชาวยูเครนอดอยากล้มตายเป็นล้านๆ คนในช่วงทศวรรษ 1930 น่ะค่ะ/ครับ มันเป็นแผลใจที่ไม่มีวันลืม เป็นเครื่องย้ำเตือนว่าการอยู่ภายใต้อำนาจของคนอื่นมันเลวร้ายแค่ไหน ดังนั้นเมื่อยูเครนประกาศอิสรภาพในปี 1991 มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนธงชาติ แต่เป็นการประกาศศักดิ์ศรี การยืนยันว่าพวกเขาเป็นชาติพันธุ์ที่มีภาษา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของตัวเอง ซึ่งสมควรแก่การกำหนดชะตากรรมของตัวเอง ไม่ใช่ให้ใครมาบงการอีกต่อไป นี่แหละค่ะ/ครับ คือเหตุผลที่ทำไมคำว่า “เอกราช” จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาพร้อมจะสู้และเสียสละทุกอย่างเพื่อรักษามันไว้ ฉันเองก็ยังรู้สึกทึ่งในความมุ่งมั่นของพวกเขาเลยค่ะ/ครับ
ถาม: จุดเปลี่ยนสำคัญอะไรบ้างที่ทำให้ยูเครนหลุดพ้นจากสหภาพโซเวียตและก้าวสู่การเป็นประเทศอิสระอย่างเต็มตัวคะ/ครับ?
ตอบ: อูย…นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความหวังมากๆ เลยค่ะ/ครับ ถ้าจะพูดถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ยูเครนได้เป็นอิสระจากสหภาพโซเวียต ก็ต้องย้อนไปในช่วงปี 1991 เลยค่ะ/ครับ ตอนนั้นสหภาพโซเวียตกำลังสั่นคลอนอย่างหนักจากปัญหาเศรษฐกิจและการเรียกร้องประชาธิปไตยในหลายๆ สาธารณรัฐ จุดสำคัญเลยคือความล้มเหลวในการรัฐประหารในกรุงมอสโกเมื่อเดือนสิงหาคม 1991 ค่ะ/ครับ กลุ่มอนุรักษ์นิยมพยายามยึดอำนาจจากประธานาธิบดีกอร์บาชอฟ แต่ก็ไม่สำเร็จ เหตุการณ์นี้เองที่เหมือนจุดไฟให้สาธารณรัฐต่างๆ กล้าลุกขึ้นประกาศเอกราชค่ะ/ครับ ยูเครนเองก็ไม่รอช้าเลยค่ะ เพียงไม่กี่วันหลังเหตุการณ์นั้น คือวันที่ 24 สิงหาคม 1991 รัฐสภายูเครนก็ผ่านกฎหมายประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการทันที!
จำได้เลยว่าตอนนั้นข่าวออกไปทั่วโลก ผู้คนต่างจับตาดูอย่างใจจดใจจ่อ แต่แค่นั้นยังไม่พอค่ะ เพื่อให้การประกาศเอกราชนี้มีความชอบธรรมอย่างแท้จริง ในวันที่ 1 ธันวาคม ปีเดียวกัน ยูเครนก็จัดการลงประชามติทั่วประเทศเลย ซึ่งผลออกมาอย่างท่วมท้นถึง 90% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ที่ลงคะแนนเสียงสนับสนุนเอกราชของยูเครน นั่นเท่ากับว่าคนยูเครนเกือบทั้งประเทศต้องการเป็นอิสระจริงๆ!
นี่แหละค่ะ/ครับ คือหมุดหมายสำคัญที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์และปูทางให้ยูเครนกลายเป็นประเทศเอกราชอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ฉันคิดว่านี่คือบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าอำนาจที่แท้จริงคือเสียงของประชาชนนี่แหละค่ะ
ถาม: การที่ยูเครนเป็นประเทศอิสระ ส่งผลต่อชีวิตประจำวันและอัตลักษณ์ของชาวยูเครนในปัจจุบันอย่างไรบ้างคะ/ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยนี้?
ตอบ: เป็นคำถามที่ดีมากๆ เลยค่ะ/ครับ เพราะการเป็นเอกราชมันเปลี่ยนชีวิตผู้คนไปเยอะจริงๆ ค่ะ/ครับ จากที่ฉันได้ติดตามและสังเกตมาตลอด ฉันรู้สึกว่าการเป็นประเทศอิสระทำให้ชาวยูเครนมีโอกาสได้กำหนดทิศทางชีวิตของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องอยู่ภายใต้การบงการของใครอีกต่อไปค่ะ/ครับ ลองนึกภาพว่าคุณมีอิสระที่จะเลือกเรียนภาษาของตัวเองได้อย่างภูมิใจ จะพัฒนางานศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี หรือแม้แต่เลือกแนวทางการเมือง เศรษฐกิจ ที่เหมาะสมกับประเทศของตัวเองได้โดยไม่ต้องคอยมองตาใคร นี่คือสิ่งที่ยูเครนได้รับค่ะ/ครับในแง่ของอัตลักษณ์ การเป็นเอกราชทำให้ “ความเป็นยูเครน” (Ukrainian identity) ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ/ครับ ภาษาและวัฒนธรรมยูเครนที่เคยถูกกดทับในช่วงยุคโซเวียต ก็กลับมาเบ่งบาน ผู้คนหันมาภูมิใจในรากเหง้าของตัวเองมากขึ้น การได้มีอิสระในการเลือกเส้นทางเดินของประเทศ ไม่ว่าจะอยากไปทางยุโรป หรือพัฒนาความสัมพันธ์กับใครก็ตาม ก็เป็นสิทธิของพวกเขาค่ะ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีศักดิ์ศรีและเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริงแต่แน่นอนว่าการเป็นอิสระก็มาพร้อมกับความท้าทายมากมาย อย่างที่เราเห็นจากสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขากำลังต่อสู้เพื่อรักษาเอกราชนี้ไว้จากการคุกคามภายนอก ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่าเอกราชไม่ใช่แค่สถานะที่ได้มาแล้วจะคงอยู่ตลอดไป แต่มันคือสิ่งที่ต้องดูแล รักษา และพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อมันเสมอค่ะ/ครับ ฉันคิดว่าสิ่งนี้ทำให้ชาวยูเครนมีความสามัคคีและภูมิใจในชาติของตัวเองมากๆ เลยค่ะ และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้พวกเขาสู้ไม่ถอยอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้.
📚 อ้างอิง
Wikipedia Encyclopedia
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과